แชร์ประสบการณ์การออมเงินของมนุษย์เงินเดือนค่ะ ที่ทำให้มีเงินเป็นกรอบเป็นกำอย่างไม่น่าเชื่อ!!!

แชร์ประสบการณ์การออมเงินของมนุษย์เงินเดือนค่ะ ที่ทำให้มีเงินเป็นกรอบเป็นกำอย่างไม่น่าเชื่อ!!!

สวัสดีค่ะ วันนี้เราจะนำประสบการณ์การออมเงินของตัวเองมาแชร์ให้เพื่อนๆได้นำไปลองทำตามดูนะคะ

         สืบเนื่องมาจากตัวเองเป็นคนชอบออมเป็นทุนเดิมด้วยอยู่แล้ว ก็เริ่มจากการนั่งคิดหาวิธีออมเงินให้ได้เยอะๆ เราเลยสร้างกฏเหล็กให้กับตัวเองดังนี้ค่ะ
1.เหรียญ 2บาท เหรียญ 5 เหรียญ 10 ห้ามใช้เด็ดขาด!!
2.แบงค์20 พยายามไม่ใช้
3.แบงค์ 50 ห้ามใช้เด็ดขาด!!
4.แบงค์ 100 ,500,1,000 ที่เลขของแบงค์ตัวสุดท้ายที่ลงท้ายด้วยวันเกิดของเรา เช่นเราเกิดวันที่ 8 เลขลงท้ายของแบงค์ลงท้ายด้วยเลข 8 ทำใจค่ะ  ต้องเก็บ!!

กฏข้อที่ 4 ต้องพึ่งดวงด้วยนะคะ แบบถ้าวันนั้นมีเงินไม่มาก ก่อนเปิดกระเป๋าตังค์ เราจะตั้งจิตขออย่าให้มี ขออย่าให้มี ขออย่าให้มีแบงค์ที่ลงท้ายด้วยเลข 8 เลย โอมๆๆเพี๊ยง!! หรือถ้ามีขอให้เป็นแบงค์100 ก็พอ  ฮ่าๆ อย่าเป็นแบงค์ใหญ่นะ แต่ในนขณะเดียวกันตอนนั้นเราไม่ค่อยมีเงินมากพอที่จะเก็บเราก็สามารถยกเว้นข้อนี้ได้ค่ะ

     เรามีกฏในการเก็บเงินแล้ว อุปกรณ์ต่อไปที่ขาดไม่ได้ในการออมค่ะ นั่นคือกระปุกออมสิน กระปุกออมเงินควรจะมีหลายใบหน่อย เพื่อที่จะได้กระจายกระปุกไปทุกที่ที่เราอยู่ ที่บ้าน ที่ทำงาน ที่ตู้เสื้อผ้า  โต๊ะทีวี หรือแม้แต่ในกระเป๋าที่เราสะพาย (คือในกระเป๋าเป็นถุงหูหิ้วก็ได้ค่ะ กระเป๋าเล็กๆ หรือถุงซิบล็อก) อะไรก็ได้ค่ะที่สามารถเก็บเงินออมแยกจากเงินที่เราใช้ได้ เงินจะได้ไม่ปนกันค่ะ




     กระปุกออมสินที่เราใช้เป็นกระปุกที่เราทำเองค่ะ เพราะเราอยากได้ใหญ่ๆ หลายใบ เราซื้อโหลพลาสติกที่เป็นโหลฝาหมุนตามร้านขายของทุกอย่าง20  ราคาโหลละ20บาท มาเจาะรูปโดยใช้คัตเตอร์เจาะที่ฝาให้เป็นรู จากนั้นหาเศษผ้ามาพันปิดเงินไว้ค่ะ ผ้าที่เราใช้คือผ้าปูที่นอนที่ขาดแล้วค่ะ นำมาตัดแล้วห่อกระปุกพลาสติก ,กระป๋องสังกะสีที่ซื้อขนมแล้วเขาแถมมา ,กระปุกกระดาษขนมโคลอนแบบแท่ง, และอื่นๆที่มีฝาปิดมิดชิดค่ะ

     แต่ละกระปุกเงินออมให้เราเขียนเป้าหมาย หรือความฝันเอาไว้ที่กระปุกด้วยก็ดีนะคะ เราจะซื้อโหลมาสีของฝาจะไม่ซ้ำกัน
สีฟ้าเราตั้งเป้าไว้ว่าเที่ยวญี่ปุ่น สีเขียวเอาไว้ซื้อของที่อยากได้ สีชมพู และ ส้มนำไปฝากธนาคาร

     เทคนิคการออมคือ ให้ลืมเงินที่เราออมไปเลยค่ะ อย่าคิดว่าใช้เงินที่มีไปเถอะเดือดร้อนยังไงเราก็มีเงินเก็บ ถ้าคิดแบบนี้เราจะไม่สามารถเก็บเงินตามเป้าได้ค่ะ ให้เก็บไปทุกวันๆเรื่อยๆ 1-3เดือนให้นำออกมานับ แยก ถุงละ 100 บาท แยกถุงเหรียญ 10,5,2,1 และเหรียญสตางค์ นำถุงที่นับแล้ว ถุงละ100บาท  มามัดรวมกันให้ได้มัดละ 1,000เพื่อเตรียมตัวนำไปแลก หรือนำไปฝากธนาคารค่ะ

   เทคนิคอีกข้อคือให้ไปเปิดบัญชีแยกออกมาจากบัญชีที่เราใช้จ่ายค่ะ และห้ามทำบัตร ATM  เด็ดขาด!! 1.) เราจะได้ไม่กดใช้ตามอำเภอใจ 2.)เราจะได้ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมบัตรATM รายปีด้วยค่ะ


(ภาพนี้เราเพิ่งถ่ายเมื่อคืนค่ะ ยังไม่ได้นับและเรียงให้สวยงาม ใช้เวลาเก็บ 1-5 เดือนได้ยอดประมาณ 2 หมื่นกว่าบาทค่ะ)

   ทุกๆ2-3 เดือนเราจะนำเงินที่เราเก็บได้ไปฝากธนาคาร 1 ครั้ง ไม่ก็ 5 เดือนครั้ง เก็บเล่นๆไปมา ผลที่ได้ไม่เล่นๆนะคะ 2-5 เดือนฝากทีก็ได้ประมาณ1-3หมื่นเลยนะคะ   เห็นยอดรวมแล้วมันทำให้เราชื่นใจสุดๆไปเลยค่ะ

     การเก็บเงินแบบนี้ข้อดีมีเยอะมากๆค่ะ เก็บไปเรื่อยๆ พยายามอย่าคิดมาก ให้เก็บแบบชีวิตประจำวันไม่เดือดร้อนด้วยนะคะ เอาที่เก็บไปไม่เบียดเบียนชีวิตตัวเองไป เราเป็นมนุษย์เงินเดือนค่ะ จะให้ฝากประจำคงยังไม่ไหว เพราะบางเดือนเราอาจจะมีภาระค่าใช้จ่ายบางอย่างที่เราคาดเดาไม่ได้เข้ามา ฉนั้นการเก็บเงินไปเรื่อยๆแบบนี้จะเหมาะกับเรามากกว่าค่ะ  

    เก็บไปเพลินๆปีๆนึงได้หลักหมื่น ถึงหลักแสนเลยนะคะ เพื่อนๆลองนำวิธีของเราไปใช้ได้นะคะ ถ้ามีแฟนลองเล่นเกมเก็บเงินกับแฟนได้นะคะ ให้เขาเปิดกระเป๋าตังค์ของเขา เปิดกระเป๋าตังค์ของเรา แล้วถ้าใครมีแบงค์ที่ลงท้ายด้วยวันเกิดของเราทั้งคู่ เช่น 8 กับ 13 ก็ให้เก็บแบงค์ที่ลงท้ายเลขนั้นไว้ ไม่ว่าจะเป็นแบงค์อะไรก็ตาม(ถ้าแบงค์ใหญ่มากก็ต้องถามความสมัครใจของสองฝ่ายก่อนนะคะ) เก็บไว้เป็นเงินกองกลางเผื่อเอาไว้ไปเที่ยว หรือทานข้าว ทำธุรกิจด้วยกันค่ะ ส่วนแฟนของเราเกิดวันที่ 8เราเกิดวันที่ 8 เวลาเปิดกระเป๋าทีเราได้แต่ภาวนาให้กระเป๋าเราไม่มีเลข 8 ขอให้แฟนเรามี 8เยอะๆที่เถิด...ด 555++

     ตอนนี้เราก็ชวนแฟนเก็บเงินกองกลางมาได้4 ปีแล้วค่ะ  ใช้กฏเดียวกันแต่ไม่เคร่งเรื่องเหรียญและแบงค์ 20 เราเน้นแบงค์50 กับแบงค์ที่ลงท้ายด้วยวันเกิด ทริกอีกอย่างคือ เวลาแฟนเราใช้ไปซื้อของเราชอบบอกให้แม่ค้าทอนแต่แบงค์50 เวลาเอาเงินมาทอนแฟน แฟนจะบอกว่าแบงค์50ห้ามใช้ ต้องเก็บสินะ 555++ ทำแบบนี้เดือนๆนึง ปีๆนึงได้เงินกองกลางเยอะประมาณนึงเลยนะคะ เวลาไปเที่ยวด้วยกันจะได้ไม่เดือดร้อนเรื่องค่าใช้จ่ายของทั้งคู่ และเที่ยวกินช็อปอย่างสบายใจและไม่เอาเปรียบกันค่ะ


หวังว่าวิธีของเราจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะคะ ขอบคุณมากๆค่ะ