ห้ามพลาด!! .เตือนคนไทยคิดก่อนใช้ "ยาปฏิชีวนะ" หรือที่เรียกติดปากว่ายาแก้อักเสบ อาจตายก่อนหายป่วย!?
คุณเคยเป็นอย่างนี้ไหม
คอแดง ไอ เป็นหวัดทีไร ก็ไปซื้อยามากิน
ไปหาหมอทีไรขอยาแรง ๆ ไว้ก่อน เพราะกลัวไม่หาย ต้องยาแรงดักไว้ก่อน
อาการดีขึ้นแล้ว ไม่ต้องกินยาให้ครบก็ได้ เก็บไว้กินตอนป่วยครั้งหน้า
หากคุณเคยทำอย่างนี้ คุณมีส่วนสร้างเชื้อดื้อยาในตัวเอง
องค์การอนามัยโลกออกโรงเตือน ระบุทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตเพราะเชื้อดื้อยาถึงปีละ 10 ล้านคน สร้างความเสียหายถึง 3,500 ล้านล้านบาท
ทุก 15 นาทีมีคนไทย 1 คนตายเพราะเชื้อดื้อยา
สถานการณ์ในไทยยิ่งน่าหวั่น เพราะรายงานการวิจัยระบุว่าในแต่ละปีคนไทยติดเชื้อแบคทีเรียดื้อยาประมาณ 88,000 คน เสียชีวิตจากเชื้อดื้อยาอย่างน้อยปีละ 20,000-38,000 คน สูญเสียทางเศรษฐกิจถึง 46,000 ล้านบาท
ตัวเลขนี้อาจทำให้คุณฉุกคิดก่อนกินยาครั้งต่อไป
หยุดคิดสักนิดก่อนกินยา "ปฏิชีวนะ" ด้วย 2 คำถาม
1. ไวรัสหรือแบคทีเรีย ?
ไข้หวัดเป็นโรคที่คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าต้องกินยาปฏิชีวนะ ทั้งที่จริงแล้วไข้หวัดร้อยละ 80 เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งหากเกิดจากเชื้อไวรัส ร่างกายสามารถกำจัดเองได้ การใช้ยาปฏิชีวนะซึ่งเป็นยาต้านแบคทีเรียจึงไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้ จะได้ผลอย่างไรล่ะ แค่ชื่อเชื้อโรคก็คนละอย่างกันแล้ว
แนะนำให้ดูคอว่าเพราะเชื้ออะไรกันแน่ ถ้าเป็นเพราะเชื้อแบคทีเรีย ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการไอและไม่มีน้ำมูก แต่จะมีต่อมทอนซิลโต แดงจัด และมีจุดหนอง ต่อมน้ำเหลืองใต้ขากรรไกรโตและกดเจ็บ
แต่หากเกิดจากเชื้อไวรัส ส่วนใหญ่มักมีน้ำมูกและไอ ทอนซิลบวมแดงแต่ไม่มีจุดหนองและคอแดง ซึ่งร่างกายเรามีภูมิต้านทานช่วยรักษาให้หายเองได้ แนะนำให้กินอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำให้มาก พักผ่อนให้เพียงพอก็หายได้ โดยไข้ควรจะลงภายในเวลาประมาณ 3 วัน
หากใน 1-2 สัปดาห์ยังไม่หาย มีสาเหตุหลายอย่าง ไม่ใช่เพราะเชื้อดื้อยาหรือมีการติดเชื้อแทรกซ้อนเสมอไป ควรปรึกษาเภสัชกรหรือพบแพทย์ เพื่อวินิจฉัย และรับยาที่ถูกโรค และคำแนะนำการใช้ยาที่ถูกต้อง
ถึงตายก่อนหายป่วย...เตือนคนไทยคิดก่อนใช้ "ยาปฏิชีวนะ" หรือที่เรียกติดปากว่ายาแก้อักเสบ
คุณเคยเป็นอย่างนี้ไหม
คอแดง ไอ เป็นหวัดทีไร ก็ไปซื้อยามากิน
ไปหาหมอทีไรขอยาแรง ๆ ไว้ก่อน เพราะกลัวไม่หาย ต้องยาแรงดักไว้ก่อน
อาการดีขึ้นแล้ว ไม่ต้องกินยาให้ครบก็ได้ เก็บไว้กินตอนป่วยครั้งหน้า
หากคุณเคยทำอย่างนี้ คุณมีส่วนสร้างเชื้อดื้อยาในตัวเอง
องค์การอนามัยโลกออกโรงเตือน ระบุทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตเพราะเชื้อดื้อยาถึงปีละ 10 ล้านคน สร้างความเสียหายถึง 3,500 ล้านล้านบาท
ทุก 15 นาทีมีคนไทย 1 คนตายเพราะเชื้อดื้อยา
สถานการณ์ในไทยยิ่งน่าหวั่น เพราะรายงานการวิจัยระบุว่าในแต่ละปีคนไทยติดเชื้อแบคทีเรียดื้อยาประมาณ 88,000 คน เสียชีวิตจากเชื้อดื้อยาอย่างน้อยปีละ 20,000-38,000 คน สูญเสียทางเศรษฐกิจถึง 46,000 ล้านบาท
ตัวเลขนี้อาจทำให้คุณฉุกคิดก่อนกินยาครั้งต่อไป
หยุดคิดสักนิดก่อนกินยา "ปฏิชีวนะ" ด้วย 2 คำถาม
1. ไวรัสหรือแบคทีเรีย ?
ไข้หวัดเป็นโรคที่คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าต้องกินยาปฏิชีวนะ ทั้งที่จริงแล้วไข้หวัดร้อยละ 80 เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งหากเกิดจากเชื้อไวรัส ร่างกายสามารถกำจัดเองได้ การใช้ยาปฏิชีวนะซึ่งเป็นยาต้านแบคทีเรียจึงไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้ จะได้ผลอย่างไรล่ะ แค่ชื่อเชื้อโรคก็คนละอย่างกันแล้ว
แนะนำให้ดูคอว่าเพราะเชื้ออะไรกันแน่ ถ้าเป็นเพราะเชื้อแบคทีเรีย ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการไอและไม่มีน้ำมูก แต่จะมีต่อมทอนซิลโต แดงจัด และมีจุดหนอง ต่อมน้ำเหลืองใต้ขากรรไกรโตและกดเจ็บ
แต่หากเกิดจากเชื้อไวรัส ส่วนใหญ่มักมีน้ำมูกและไอ ทอนซิลบวมแดงแต่ไม่มีจุดหนองและคอแดง ซึ่งร่างกายเรามีภูมิต้านทานช่วยรักษาให้หายเองได้ แนะนำให้กินอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำให้มาก พักผ่อนให้เพียงพอก็หายได้ โดยไข้ควรจะลงภายในเวลาประมาณ 3 วัน
หากใน 1-2 สัปดาห์ยังไม่หาย มีสาเหตุหลายอย่าง ไม่ใช่เพราะเชื้อดื้อยาหรือมีการติดเชื้อแทรกซ้อนเสมอไป ควรปรึกษาเภสัชกรหรือพบแพทย์ เพื่อวินิจฉัย และรับยาที่ถูกโรค และคำแนะนำการใช้ยาที่ถูกต้อง
2. จำเป็นหรือไม่จำเป็น ?
ยังมีอีกสองโรคที่ต้องหยุดคิดก่อนใช้ยาปฏิชีวนะเพราะความเคยชิน นั่นคือท้องเสียและแผลสด
อาการท้องเสียที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย คือการมีมูกเลือด แต่ถ้าท้องเสียธรรมดาไม่มีอาการปวดเบ่ง ไม่ได้เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ก็รักษาตามอาการไม่ต้องกินยา
เมื่อเป็นแผลเลือดออก หรือที่มักเรียกว่า แผลสด ถ้าไม่มีโรคประจำตัวประเภทภูมิต้านทานต่ำ หรือไม่ใช่ผู้สูงอายุ แผลนั้นจะหายได้เองโดยเราควรล้างแผล ทำแผลให้สะอาดก็เพียงพอ ไม่จำเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะกันไว้ก่อนทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีอาการติดเชื้อแบคทีเรีย
แชร์ต่อไปให้มากทีสุด เพื่อให้การกินยาครั้งต่อไปเป็นการรักษาชีวิตอย่างแท้จริง
หยุดการใช้ยาปฏิชีวนะ ไม่ถูกโรค ไม่ถูกวิธี หยุดสร้างเชื้อดื้อยาให้ตัวเอง