ต้องอ่าน!! ความเชื่อของคนโบราณ…ที่เราไม่ควรลบหลู่
วามเชื่อเป็นอะไรที่อธิบายยาก มันแล้วแต่คนจะเลือกเชื่อ แต่ความเชื่อบางอย่างมันไม่ค่อยมีเหตุผลแต่ก็ไม่ควรลบหลู่ เช่น ความเชื่อของคนโบร่ำโบราณ คนเหล่านั้นอยู่มาก่อนเรา เจออะไรๆ มาก่อนเรา ดังนั้นหากเราจะเชื่อไว้บ้างก็คงไม่เสียหายอะไร สำหรับวันนี้ผมจะเอาความเชื่อทางภาคใต้ ซึ่งเป็นบ้านของผู้เขียนเองมาเล่าให้คุณได้ฟังว่า..คนใต้มีเชื่อเรื่องอะไรกันบ้าง บอกก่อนว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณทั้งนั้นเลยน่ะครับ
ความเชื่อเรื่องที่ 1 ห้ามไปงานศพเวลาเรากำลังเป็นแผล
ความเชื่อนี้คนเฒ่าคนแก่ถือกันมาก เพราะว่างานศพเป็นงานอวมงคล เกี่ยวกับคนตาย วิญญาณ ดังนั้นหากใครเป็นแผลสดหรือแผลเปื่อย ไม่ควรไปร่วมงานศพ เพราะจะทำให้แผลเปื่อยมากขึ้น หรือเป็นแผลเรื้อรังรักษาไม่หาย
วิธีแก้ไขคือ หากจำเป็นต้องไปงานศพก็ให้พกหนามต้นไม้ติดตัวไปด้วย เพื่อเป็นการแก้เคล็ด หนามที่ว่านั้น เช่น หนามมะกรูด หนามเฟืองฟ้า เป็นต้น
ความเชื่อเรื่องที่ 2 ห้ามชวนใครกลับบ้านโดยไม่เอ่ยชื่อ
สมัยก่อนมีแต่ป่า ภูติผีปีศาสแรง หลอกหลอนคนได้แม้กระทั่งกลางวัน และคนสมัยก่อนก็มักไปไหนมาไหนโดยการเดิน ผ่านป่าบ้าง ผ่านวัดบ้าง ผ่านป่าช้าบ้าง เวลาจะชวนใครไปบ้านระหว่างทางก็จะเอ่ยชื่อด้วย เพราะหากเผลอชวนแบบดื้อๆก็อาจจะมีสิทธิ์ได้คนที่ไม่รู้จักไปแทน แต่อยู่ในเวอร์ชั่นที่ไม่ใช่มนุษย์น่ะครับ สมัยนี้ก็ยังใช้ได้ เพราะเวลาเราขี่รถในเวลากลางคืนกับเพื่อนๆ หลายๆคัน เผลอปากพูดชวนใครแบบไม่เอ่ยชื่อก็มีสิทธิ์โดนเช่นกันครับ
วิธีแก้คือ ให้เอ่ยชื่อคนที่เราต้องการชวนทุกครั้ง ห้ามลืม อย่าเอ่ยปากชวนส่งเดช ยิ่งเวลากลางคืนจงพึงระวัง
ความเชื่อเรื่องที่ 3 เวลาเข้าป่าอย่าพูดถึงสิงสาราสัตว์ เวลากลางคืนไม่ควรพูดถึงเรื่องวิญญาณ
เป็นต้น ความเชื่อเรื่องนี้หลายคนคงทราบดีแล้ว และมันก็ควรเป็นเช่นนั้น เช่น เวลาเดินป่า เราไม่ควรพูดถึงสัตว์ที่น่ากลัว เช่น เสือ งู หากลงน้ำก็อย่าพูดถึงพราย หรือจระเข้ เป็นต้น เพราะมันจะมาให้เราเจอเลยทีเดียว เช่น เดียวกับเวลากลางคืนอย่าพูดถึงเรื่องผีหรือวิญญาณ ถามว่าทำไม? คำตอบก็เหมือนกับพูดถึงสัตว์เวลาอยู่ในป่านั่นแหละ
ความเชื่อเรื่องที่ 4 ห้ามนอนขวางทางเดิน
ความเชื่อนี้ยังขลังมาถึงบัดนี้ คำว่าอย่านอนขวางทางนั้น หมายความว่า ตรงไหนที่เป็นทางสัญจรไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ เราไม่ควรไปนอนขวางทาง บางคนเป็นหลับง่ายต้องระวังให้ดี เช่น นอนขวางทางเข้าบ้าน เข้าร้าน เป็นต้น คุณอาจจะต้องเจอกับอาการที่เค้าเรียกกันว่า “ผีอำ” คำนี้ไม่ได้แปลว่าโดนสิงสู่ แต่แปลว่าโดนเหยีบโดนทับ เนื่องจากวิญญานจะสัญจรผ่านทางดังกล่าว แล้วเราไปขวางทางเค้า เราก็จะต้องโดนดี โดนดีที่ว่าคือเราจะลุกไม่ขึ้น หื้ออื้อ รู้สึกตัวแต่ขยับตัวไม่ได้ ลืมตาไม่ขึ้น (ผู้เขียนโดนบ่อยจนชินครับ) ทรมานจนกว่าเค้าจะพอใจแล้วเราถึงจะสามารถตื่นขึ้นได้
คนสมัยโบราณเวลาจะนอนในป่า จำเป็นต้องขอเจ้าที่เจ้าทาง หรือมีคาถาติดตัวเยอะแยะ เพราะเราคิดว่ามันเป็นที่ธรรมดาก็จริง แต่ย้อนไปในอดีตที่ที่เรากำลังนอนอยู่นั้น อาจจะเคยเป็นทางสัญจรของคนในสมัยก่อนก็เป็นได้ ดังนั้นเวลาต้องนอนผิดที่ผิดทาง จงขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทางแล้วสวดมนต์ก่อนนอน บทไหนก็สวดไปเลยเพื่อความเป็นสิริมงคล บทสวดที่มาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าย่อมศักดิ์สิทธิ์เหนือสิ่งใดอยู่แล้ว และเวลาจะนอนต้องดูให้ดีว่าไม่ไปขวางที่ขวางทางอะไร
วิธีแก้หากโดนผีอำ 1. จงระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย (พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ) แล้วสวดมนต์บทที่เราท่องได้ สวดไปเรื่อยๆ 2. อุทิศส่วนกุศลให้เค้าไป บทแผ่เมตตาอย่างง่าย คุณคงจำกันได้น่ะครับ 3. จงอย่าฝืน ต้องมีสติ ที่สำคัญอย่าพยายามลืมตา ถ้าไม่อยากเห็นสิ่งที่คุณไม่พึงประสงค์ ต้องมีสติและรอจนกว่าเค้าจะออกไปเอง
ความเชื่อเรื่องที่ 5 อย่าเล่นซ่อนแอบเวลากลางคืน
ความเชื่อนี้เป็นเรื่องที่น่าเชื่อถือเสียจริง เพราะเวลากลางคืน เป็นเวลาที่สิ่งลึกลับออกมาเผ่นพ่าน เวลาเราเล่นซ่อนแอบกัน บางทีเราอาจจะต้องเจอกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญเข้ามาร่วมเล่นด้วย อีกประการคือกลางคืนมันมีตะขอตะขาบ งู สัตว์มีพิษทั้งหลาย หรือแม้แต่หนาม ตะปู กระเบื้อง เราไม่เห็นแล้วไปเหยียบเข้า อาจจะได้รับอันตรายได้ ความเชื่อนี้มีเหตุมีผลมาก และอย่า ขอย้ำว่า..อย่า!! คือเล่นซ่อนแอบในงานศพ (ตอนเด็กๆ ผู้เขียนชอบเล่นเป็นประจำ เพื่อน ๆ เจอ แต่ผู้เขียนไม่เจอ ฮ่าๆ)
ความเชื่อเรื่องที่ 6 อย่านอนหันหัวไปทางทิศตะวันตก และอย่านอนเอามือทั้งสองกุมหน้าอก
ความเชื่อนี้มีคนเชื่อมากมาย เนื่องจากคนเป็นควรจะนอนหันหัวไปทางทิศไหนก็ได้ แต่ไม่ใช่ทิศตะวันตก เพราะทิศตะวันตกนั้นเป็นทิศที่เค้าหันหัวศพคนตายไปหา ดังนั้นเรายังมีชีวิตอยู่ ก็อย่าไปนอนแบบคนตาย อีกนัยหนึ่งคือมันไม่เป็นสิริมงคลกับชีวิตนั่นเอง อีกประการคือห้ามนอนเอามือประสานกันบนอก การนอนแบบนี้เป็นท่านอนของคนตาย เราจึงไม่ควรนอนแบบนั้น เหตุผลเรื่องความเชื่อนี้ง่ายเสียจริงน่ะครับ
ความเชื่อเรื่องที่ 7 หลังจากกลับงานศพ หรือ กลับจากเดินทางไกล ให้ล้างเท้าก่อนเข้าบ้าน
ความเชื่อนี้มีมานานแล้ว โดยคนสมัยก่อนเวลากลับจากไปไหนมาไหน เค้ามักล้างมือล้างเท้าก่อนขึ้นเรือน เพื่อเป็นการชำระสิ่งสกปรกที่ติดตัวมา อีกนัยหนึ่งคือชำระสิ่งไม่ดีที่ติดตัวมาด้วย เนื่องจากมันมากับตัวเรา เข้าสู่บริเวณบ้านของเราโดยเจ้าที่เจ้าทางในบ้านมิได้ขัดขวาง หากเราลืมล้างเท้า สิ่งเหล่าไม่ดีเหล่านั้นก็จะเข้าบ้านเราไปด้วย ยิ่งเวลาเรากลับจากงานศพยิ่งไม่ควรลืมเรื่องนี้เด็ดขาด หรือแม้แต่กลับมาจากที่ไหนในเวลากลางคืนก็ควรล้างเท้าให้เรียบร้อยก่อนจะเข้าบ้าน สิ่งไม่ดีจะได้ไม่เข้าไปหยอกล้อคนในบ้านเรา
ความเรื่องเรื่องที่ 8 ห้ามแต่งหน้าก่อนเข้านอน หรือทำให้หน้าเปลี่ยนแปลงก่อนเข้านอน
สมัยนี้คงไม่มีใครเชื่อเท่าไหร่แล้ว เพราะสาวๆสมัยนี้มักจะมีการมาร์คหน้าก่อนนอน หน้าก็ขาวโพล้นจนจำไม่ได้เลยทีเดียว แต่ตามความเชื่อคนโบราณเค้าห้ามน่ะครับ เพราะเวลานอนคือเวลาที่วิญญาญของเราออกจากร่างกายไปท่องเที่ยว เหมือนกับตายไปชั่วขณะ ฉะนั้นเวลาเราแต่งหน้าให้แปลกไปเวลานอนหลับ อาจจะทำให้วิญญาญเข้าร่างไม่ถูก และจะมีกรณีนอนหลับไปไม่ตื่นอีกเลย ข้อนี้ก็แล้วแต่จะเชื่อแล้วกันน่ะครับ
ความเชื่อเรื่องที่ 9 วันสำคัญของเรา จงอย่าออกไปไหน
เราคงเคยได้ยินข่าวการเสียชีวิตของคนบางจำพวก เช่น นาคที่จะบวชเป็นพระเสียชีวิตก่อนได้บวช เจ้าบ่าวหรือเจ้าสาวเสียชีวิตก่อนได้แต่งงาน นักศึกษาเสียชีวิตก่อนได้รับปริญญา เป็นต้น บางครั้งไม่ได้เสียชีวิตหรอก แต่ก็เป็นเหตุให้งานสำคัญๆของเราต้องหยุดไปหรือเสียหายไป ทั้งนี้ท่านว่า เวลาเราจะมีงานอะไรสำคัญที่สุดในชีวิต เช่น การบวชของผู้ชาย การแต่งงาน การรับปริญญา เป็นต้น งานเหล่านี้มีครั้งเดียวในชีวิต คนโบราณจึงห้ามมิให้คนเหล่านี้เดินทางไปไหน ให้อยู่แต่ในบ้าน เพราะท่านว่าคนประเภทนี้เนื้อหอมมากนักแล คือจะหอมกับภูตผีวิญญาณทั้งหลาย และสัตว์ทั้งหลาย เช่น คนจะบวชเป็นพระจะเนื้อหอมมาก แม้แต่กับสตรีก็เช่นกัน อะไรก็ตามที่จะทำให้การบวชพินาศลง สิ่งนั้นก็ถือเป็นมารทั้งสิ้น ดังนั้นในวันสำคัญแบบนี้ของคุณ จงอย่าไปไหน ให้อยู่กับบ้านกับที่ ให้ผ่านพิธีสำคัญไปก่อน เช่น แต่งงานเสร็จแล้ว รับปริญญาเสร็จแล้ว เป็นต้น แต่ยังไงก็ตามเรื่องนี้ก็พึงสอนในเรื่องความไม่ประมาท มนุษย์เราไม่ควรประมาทเลย ไม่ว่าในเรื่องใดครับ
ความเชื่อเรื่องที่ 10 อย่าเงือดเงื้อของอันตรายเพื่อหยอกล้อ หรือคิดฆ่าตัวตาย
ความเชื่อนี้ขอเป็นข้อสุดท้ายแล้วกัน และเชื่อว่าคนส่วนมากก็เชื่อข้อนี้กันมาก เพราะท่านว่าเวลาเราหยอกล้อแบบนี้ เช่น จะเอาพร้า เอามีด ฟันคนอื่น หรือเล็งปืนไปหาใคร โดยหมายหยอกเล่นนั้น เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง เนื่องจากเราอาจจะพลาดพลั้งไปได้ ทำให้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น อีกนัยหนึ่งคือ เปิดโอกาสให้สิ่งลี้ลับผลักไม้ผลักมือเอาได้ เหมือนที่เค้าว่า “ผีผลัก” นั่นเอง ดังนั้นอย่าทำแบบนี้เด็ดขาดโดยเฉพาะกับคนที่คุณรัก
อีกประการสำหรับคนคิดฆ่าตัวตาย ไม่ว่าวิธีการใด เช่น โดดน้ำตาย ผูกคอตาย ยิงตัวตาย ฯลฯ เหล่านี้จะถูกชักนำจากภูตผีให้ทำด้วยส่วนหนึ่ง เพราะเวลาเราคิดจะฆ่าตัวตายหรือทำอะไรที่เสี่ยงตาย รูม่านตาเราจะเปิดกว้าง ผนวกกับอารมณ์ความเศร้าเสียใจและอารมณ์อื่นๆ ผสมเข้ากัน ทำให้เราจิตตกเห็นภาพต่างๆนานา หนึ่งในภาพนั้นคือภาพของวิญาณกำลังฆ่าตัวอย่างกันอย่างสนุกสนาน เหมือนเป็นเรื่องสนุก เป็นการชักชวนให้คนเป็นให้ฆ่าตัวตายด้วย (ที่ทราบเพราะเคยสอบถามคนคิดฆ่าตัวตายแต่ถูกช่วยไว้ทัน หลายคนบอกตรงกันแบบนี้) เพราะงั้นจงอย่าคิดทำอะไรแบบนี้เด็ดขาด สุขทุกข์ตั้งอยู่และดับไป อย่าไปอะไรกับมันนัก จงรักษาชีวิตของเราจะดีกว่าครับ
ความเชื่อเรื่องที่ 11 อยากกินได้มาก ๆ ก็ลองชวน…ดู
ความเชื่อนี้ขอแถมสำหรับใครที่อยากกินได้มาก กินแบบไม่อิ่ม เหมาะสำหรับใครอยากไปแข่งขันการกิน วิธีคือให้เด็ดใบไม้ข้างทางมา 1 ใบ เหน็บสะเอวไว้ แล้วชวนเฉยๆไม่ต้องเอ่ยชื่อว่า “ไปกินข้าวกัน” รับรองว่าคุณจะได้เพื่อนไปทานข้าวเยอะแยะเลย เพราะท่านว่าวิญญาญนั้นมีอยู่ทุกหย่อมหญ้า เราไม่จำเป็นต้องไปกลัวเค้าเหล่านั้น เพราะเค้าอยู่ทุกที่ เพียงแต่เราไม่เห็นเท่านั้น อันนี้บอกไว้ แต่อย่าเอาไปลองน่ะ ไม่ขอแนะนำเพราะว่าเราชวนมาได้ แต่จะไล่ให้กลับยังไงล่ะ?